ตอนที่ ๒๐ หนูดำกับหนูขาวที่มา : หนังสือ ตราไว้ในดวงจิต บันทึกเรื่องราวอาศรมวงศ์สนิทยุคบุกเบิก เขียนโดย ศิริพร โชติชัชวาลย์กุล |
หลังจากอ้วนออกไปแล้ว เด็กชายดำ นักเรียนประถม ๔ ก็มาอยู่กับเรา ดำเป็นลูกลุงก้านช่างที่สร้างบ้านให้เรา เหตุคือวันหนึ่งลุงสมชายมีธุระเข้ากรุงเทพฯเหลือป้าปอนอยู่ที่อาศรมคนเดียว ก็ไปขอลูกลุงก้านมาอยู่เป็นเพื่อนตอนกลางคืน เด็กชอบเราอยู่แล้ว พากันมาทั้งสามคนพี่น้อง ขาว ดำ ป้อม รุ่งเช้าขาวมีภาระต้องรีบกลับไปช่วยแม่ทำงานบ้าน ป้อมน้องสาวเป็นลูกคนสุดท้องก็ติดแม่เป็นธรรมดา เจ้าหนูดำซึ่งว่างงานตลอดกาลและไม่ได้ติดใครเลย ก็เลยติดป้าปอนไม่กลับบ้าน ช่วงนั้นปิดเทอมใหญ่ หนูดำเลยวิ่งเล่นอยู่ในอาศรม ดำผุดดำว่ายในคลองหรือไม่ก็บ่อเลี้ยงปลาทั้งวันจนพวกเราเรียก “สิน-สมุทร” ภายหลังเมื่อได้อ่านหนังสือแปลจากญี่ปุ่นกล่าวถึงตัว “ขับปะ” ที่ชอบอยู่ในน้า เราเรียกแกใหม่ว่า “ขับปะ”ดำแสนชื่นชอบและภูมิใจกับชื่อประหลาดนี้ ดำเป็นน้อง ขาวเป็นพี่ อายุห่างกันไม่กี่ปี มีทุกสิ่งตรงกันข้าม ขาวมีผิวขาว หน้าตาหล่อ หุ่นผอมสูงเพรียว กิริยามารยาทเรียบร้อยพูดจาสุภาพ ฝึกหัดทำอะไรก็ทำได้ตามที่ผู้ใหญ่คาดหวัง และมีความรับผิดชอบมอบหมายงานอะไรก็ได้ตามนั้น พ่อแม่จึงวางใจให้ช่วยแบ่งเบาภาระ ดำ แน่นอนอยู่แล้วผิวคล้าดำสมชื่อ รูปร่างป้อมเตี้ย ฟันจอบเกยยื่น ใครถามอะไรมักไม่ตอบ เหมือนไม่ได้ยิน ถ้าตอบก็ตอบคนละเรื่องและไม่มองหน้าเลยไม่มีใครรู้ว่าดำตอบคนถามหรือพูดเรื่องที่อยู่ในหัวตัวเอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครยุ่งกับดำ และดำก็ไม่ยุ่งกับใคร ไม่มีใครเรียกใช้ดำทำงาน ไม่อยากเอือมระอามากกว่าที่เห็นและเป็นอยู่ มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ดำตอบชัดเจนหากมีคนตำหนิบ่นว่าซ้ำๆ และเปรียบเทียบกับขาว “ก็ข้าชื่อดำ ไม่ได้ชื่อขาว” ตั้งแต่คืนแรกที่ขอให้มาอยู่เป็นเพื่อนป้าปอนดำไม่ได้กลับไปนอนบ้านอีกเลย เพียงกลับไปเอาเสื้อผ้าและให้พ่อแม่เห็นหน้าตอนกลางวัน ครั้นเปิดเทอมคาดว่าดำจะกลับไปอยู่ที่บ้านก็ผิดคาด วันเปิดเรียนแกข้ามฝั่งกลับบ้านแต่เช้า ไปแต่งชุดนักเรียนจากที่บ้านแล้วไปโรงเรียน ตกเย็นออกจากโรงเรียนกลับบ้านไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว หอบการบ้านข้ามมาอาศรมทันที เป็นอย่างนี้ได้ปีหนึ่งพอดีดำก็เลยเป็นสมาชิกรุ่นเยาว์ของอาศรมวงศ์สนิทไปโดยปริยาย ก่อนมาอยู่กับป้าปอนดำเป็นเด็กเงียบ ไม่พูดไม่จาไม่สุงสิงกับใคร ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ไม่เอาเรื่องเอาราว ทั้งพ่อแม่และเพื่อนบ้านบอกว่าดำเป็นเด็กปัญญาอ่อน เราเลยใส่ใจดำเป็นพิเศษและพบว่าดำไม่ได้เป็นอย่างว่าเลย เราเห็นความสามารถและเปิดโอกาสให้แสดงเต็มที่ ดำเป็นเด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวฉลาดเฉลียว มีแววศิลปิน พอคุ้นเคยไว้วางใจกันก็พูดเก่ง ร่าเริง เจ้าคารม เจ้าบทเจ้ากลอน บางครั้งชอบตะโกนโหวกเหวกร้องเพลงหรือเล่นตลก เราแปลกใจที่ได้ยินแกท่องรามเกียรติ์ได้หลายฉากเกินกว่าบทอาขยาน “ครูให้ท่องเหรอ” “ดำท่องเองครับ” แล้วยังมีคำประพันธ์เรื่องต่างๆ อีกหลายบท รวมทั้งเพลงเด็กๆ ที่ดำไปจดจำมาจากไหนต่อไหนก็ถามเอาเรื่องเอาราวไม่ได้ แต่แกก็ร้องได้อย่างไพเราะสนุกสนานน่าฟัง ป้าปอนกับลุงสมชายชอบอ่านหนังสือ เรามีหนังสือใหม่ๆ เพิ่มมาเสมอเพื่อนส่งมาให้เป็นส่วนมาก กลางคืนเราจะนอนอ่านหนังสือกันสามคน คนละเล่ม ดำอ่านหนังสือไม่ละเอียด อ่านเล่มละนิดๆ หน่อยๆ แต่น่าแปลกที่แกจับจุดสำคัญของเรื่องได้ โดยบางครั้งก็ฟังลุงสมชายกับป้าปอนคุยกัน บางครั้งก็อาศัยพลิกหนังสือดูคร่าวๆ ครั้งที่ลุงสมชายเอาหนังสือ “ขับปะ” ให้ดำ บอกว่าเป็นหนังสือสำหรับเด็กทั้งที่ความจริงเป็นหนังสือเสียดสีสังคมของผู้ใหญ่ แล้วเราก็เฝ้าดูปฏิกิริยาของแก ดำอ่านด้วยความสนุกสนาน แม้ว่าไม่จบเล่ม (ตามเคย) แต่ก็จับบุคลิกนิสัยของขับปะได้ เวลาเราคุยถึงขับปะดำก็คุยด้วยได้ หรือถ้าเราพูดถึง “สเตปเปนวูล์ฟ” ที่เขียนโดยเฮอร์มาน เฮสเส ดำก็จะบอกว่าสเตปเปนวูล์ฟเป็นมนุษย์หมาป่า หรือถ้าถามถึงเจ้าชายน้อยดำก็รู้จัก ดำยังชอบเอานิสัยหรือบทบาทของตัวละครแต่ละตัวที่รู้จักมาล้อเลียนด้วย เสียอย่างเดียวความที่แกอ่านลวกๆ ก็มักจะออกเสียงผิดเสมอ ขับปะก็เลยกลายเป็น “ขัดปะ” กาลิเลโอก็กลายเป็น “กาลิเอโก” และร้องเพลงอีสานชนิดที่คนอีสานเองก็แปลไม่ได้สักคำ ความช่างพูดและมีอารมณ์ขันทำให้ดำเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของเพื่อนทุกคนที่มาเยี่ยมเรา ที่สำคัญคือการรู้จักกาลเทศะและความมีน้ำใจ โดยเฉพาะกับป้าปอนดำจะรักและคอยดูแลเอาใจใส่ว่าป้าปอนจะต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง ยิ่งยามเจ็บป่วยดำจะคอยถาม ปวดหลังก็ยินดีเหยียบให้ แขกทุกเพศทุกวัยที่มายอมรับดำเป็นเพื่อน แม้กระทั่งชาวต่างชาติอย่างดีต้าร์ ฮาร์เบิร์ต เพื่อนชาวเยอรมันของเรา กลับไปประเทศแล้วยังส่งของขวัญและบัตรอวยพรมาให้ ดำรู้จักอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ด้วย อาจารย์เคยมาพักที่อาศรมพร้อมกับเพื่อนชาวต่างประเทศหลายชาติ ฟังเขาคุยกันดำก็พอจะรู้ว่าอาจารย์เดินทางไปทั่วโลกดำมาบอกป้าปอนว่า “อาจารย์สุลักษณ์สู้ดำไม่ได้หรอก ประเทศบ้านนาแค่นี้ (อำเภอบ้านนาอยู่ติดอำเภอองครักษ์อันเป็นที่ตั้งของอาศรมวงศ์สนิท) อาจารย์ยังไม่เคยไปเลยแต่ดำนี่แหละไปมาแล้ว” ดำมีความสุขกับการล้อเลียนตัวเองหรือไม่ก็พ่อแม่ ดำจะพูดถึงหมาดำที่มาจากบ้านป้าแดงกับตัวเองปนไปปนมาจนแยกไม่ออกว่าพูดถึงหมาหรือคนและชอบมาฟ้องป้าปอนว่าเป็ดฝูงใหญ่ของป้าปอนชอบด่าพ่อดำว่า “ก้าน ก้านก้าน” แล้วยังดัดแปลงเพลงว่า “เป็ดมันร้องอย่างไร เป็ดมันร้อง ก้าน ก้าน พวกเราได้หัวเราะฮา พ่อดำชื่อนายก้าน แม่ดำชื่อนางระเบียบ ครั้งหนึ่งเจ้าหนูป้อมน้องสาวสุดท้องของดำที่กำลังเรียนประถม ๑ มาเล่นด้วย ได้ยินเพลงก็ติดใจนำกลับไปร้องที่บ้านบ้าง แต่แกเด็กเกินไปไม่รู้จักความสัมพันธ์ของคำและความหมาย จำเอาเพลงทะลึ่งของดำที่ว่า “ม้ามันร้องอย่างไร ม้ามันร้อง ฮิฮิ หนูป้อมเอาสองเพลงไปปนเปร้องว่า “ม้ามันร้องอย่างไร ม้ามันร้อง ก้าน ก้าน” ผลคือแม่ฟังแล้วขำไม่ออก หาว่าล้อเลียนพ่อ หนูป้อมโดนตบปากไปหนึ่งผลัวะ แต่ก็ยังไม่เข็ดกลับมาสร้างสรรค์เองที่อาศรมฯ อีก “ลิงมันร้องอย่างไร ลิงมันร้อง พี่สมชาย พี่สมชาย” เราฟังแล้วขำเหมือนกัน ขำในความไม่เอาไหนของเพลงแก ดำไปได้ปืนแก๊ปเด็กเล่นกระบอกหนึ่ง ยิงโน่นนี่สนุกเพลินไปหน่อย พอน้องสาวตามมาเล่นที่อาศรมฯ ก็เลยทักทายน้องด้วยการยิงใส่หลัง เด็กหญิงป้อมเจ็บกายไม่เท่าเจ็บใจออกฤทธิ์เดชของลูกสุดท้องที่เป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวด้วยการด่าทอดำและร้องไห้ไม่หยุด ใครจะปลอบอย่างไรหนูป้อมก็ยิ่งหวีดกรีดเสียงตะเบ็งร้อง ประนีประนอมอย่างไรป้อมไม่ฟัง ข้อเรียกร้องเดียวที่ป้อมจะยอมยุติสงครามคือต้องได้ยิงดำคืน ไม่งั้นเรื่องนี้ต้องถึงพ่อแม่ และแน่นอนดำจะต้องเจ็บตัวจากไม้เรียว ดำแสนกลัวแม่แต่จะยืนเป็นเป้านิ่งให้ยายป้อมยิงก็หวาดเสียวยิ่งกว่า ทั้งสองต่อรองกันไม่เป็นที่ตกลงจนเราระอาปล่อยให้เหนื่อยเดี๋ยวก็คงเลิกรากันเอง ในที่สุดเด็กหญิงป้อมยอมเดินไปหลังบ้านตามคำชวนของเด็กชายดำเสียงต่อรองเบาลง พักใหญ่ป้อมเดินกลับมาท่าทางสบายใจ ความลับคือดำอนุญาตให้ป้อมยิงเจ้าดำหมาของป้าแดงที่มาอยู่กับเรากี่นัดก็ได้ มากกว่าที่จะได้ยิงพี่ดำเพียงนัดเดียวเสียอีก หมายังไม่ทันรู้ตัวเลยถูกยิงนัดหนึ่ง หมาตกใจร้องเอ๋งวิ่งหนีสุดชีวิต ยายป้อมวิ่งตามไล่ยิงอีก สนุกเต็มที่ราวกับได้ทำสงครามจริงๆ หัวเราะเริงร่าแม้ยิงไม่ถูกอีกเลย หายโกรธเป็นปลิดทิ้ง ไม่นับที่หอบเหนื่อยเหงื่อโชกทั้งตัว ฮ่า ฮ่า เด็กเอ๋ยเด็ก |