ชุมชนทางเลือก – ชุมชนคนสวน : ปัญญาชนทวนกระแส

Posted on

ชุมชนทางเลือก - ชุมชนคนสวน : ปัญญาชนทวนกระแส

ที่มา : http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=6624.0


เขียนโดย โดย ทีมวิจัยชุมชนทางเลือก อาศรมวงศ์สนิท     

ตอนที่ 1

ชุมชนคนสวน  เป็นชุมชนของหมู่คนเมืองที่ถอยออกจากวิถีชีวิตในสังคมเมืองกระแสหลัก  มุ่งสู่พื้นที่กันดารในชนบท  เลือกใช้วิถีชีวิตแบบชาวบ้านเกษตรกร  โดยวิถีเกษตรที่พวกเขาเลือก  เป็นเกษตรกรรมธรรมชาติ  เพื่อการพึ่งตนเอง  ซึ่งหมู่คนเหล่านี้  พื้นฐานเดิมจบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป  ผ่านการทำงานหาเลี้ยงชีพมาอย่างหลากหลายแตกต่างกัน  บ้างเป็นข้าราชการ  บ้างเป็นวิศวกร  เป็นนักพัฒนาเอกชน  เป็นครู  เป็นนักข่าว  นักแปล  นักเขียน  เป็นต้น  แต่หันมาสนใจการใช้ชีวิตในชนบทบ้านนอกแบบชาวบ้าน  ซึ่งบางคนมิได้เคยใช้ชีวิตอยู่ในชนบทมาก่อน  บางคนไม่เคยทำงานเกษตรและไม่มีพื้นความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

ก่อนเล่าไปถึงเรื่องอื่น  ต้องกล่าวไว้ก่อนว่า  ชุมชนคนสวนไม่ใช่ชุมชนที่หมู่คนมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน  หากแต่เป็นชุมชนของหมู่คนที่ต่างคนต่างอยู่  ต่างคนต่างทำสวนและใช้ชีวิตเกษตรกรในพื้นที่ของตนเองโดยไม่ได้รู้จักกันมาก่อน  ภายหลังจึงมีการนัดชุมชนกันขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้กำลังใจกัน  จึงเกิดความผูกพันเป็นพี่น้องพวกพ้องเดียวกัน  และนัดพบปะชุมนุมใหญ่กันทุกปีนับตั้งแต่ปี ๒๕๓๗  เป็นต้นมา  นอกจากนั้นก็มีการไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ  แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ในการทดลองใช้ชีวิตแบบนี้ระหว่างกัน  หรือระหว่างสวนต่างๆ  เป็นประจำ  อีกทั้งมีการสื่อสารแจ้งข่าวสารระหว่างสวนต่างๆ  เป็นประจำทุกเดือนใน “จดหมายข่าวชุมชนคนสวน”  ของพวกเขา

พวกเขากล่าวชัดเจนว่า  การรวมตัวกันเป็นชุมชนคนสวนนั้น  มิได้มีเป้าหมายที่จะเป็นความเคลื่อนไหวทางสังคมแต่อย่างใด  หากเป็นแต่เพียง  การนัดพบเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้กำลังใจกันของหมู่คนที่ “มีรสนิยมการใช้ชีวิตแบบเดียวกัน”  ฉะนั้นแล้ว  ในวงนัดพบประจำปีของพวกเขา  จึงไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้คนวงนอกได้รับทราบ  ไม่อนุญาติให้คนนอกที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วม  ในการจัดงานแต่ละครั้ง  จะมีการคัดกรองคนที่จะเข้าร่วมอย่างดี  นอกเหนือไปจากสมาชิกที่รู้จักมักคุ้นและเข้าใจกันดีแล้ว  พวกเขาก็จะเชิญเพียงวิทยากรที่จะมาให้ความรู้ในเรื่องที่สนใจร่วมกัน  และอนุญาติให้สมาชิกแต่ละสวนเชิญคนอื่นเข้าร่วมได้  แต่ต้องบอกประวัติของผู้ที่ตนจะเชิญโดยละเอียด  เพื่อให้เจ้าภาพและสมาชิกคนอื่นได้พิจารณาร่วมกัน  ว่าสมควรจะเชิญเข้าร่วมงานหรือไม่

ต้องมีการคัดกรองอย่างดีนี้  ก็ดังกล่าวไว้แล้วว่า  การชุมชนนี้  เป็นวงของการแลกเปลี่ยนให้กำลังใจกัน  ของหมู่คนที่รู้สึกเป็นพวกเดียวกันจากการเลือกใช้ชีวิตแบบเดียวกัน  ผ่านประสบการณ์ยากลำบาก  ทั้งสุข  ทั้งทุกข์คล้ายคลึงกัน  จึงต้องการเลือกแต่คนที่เข้ากันได้ด้วยพื้นฐานแบบเดียวกันนี้  เมื่อพบปะกันแล้วคุยกันถูกคอเข้าใจกันและกัน  เกิดความรู้สึกดีๆ ได้กำลังใจจากการพบปะพูดคุยกัน  คนที่ไม่ได้ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกัน  และไม่ได้เชื่อถือศรัทธาในวิถีชีวิตแบบนี้  ก็อาจจะคุยกันไม่รู้เรื่อง  และทำให้ต่างฝ่ายต่างเสียอารมณ์ไป  และยังเป็นการทำให้เสียเวลาของหมู่สมาชิกชุมชนคนสวนที่ต่างก็เดินทางมาจากที่ไกลจากสวนของตน  ต้องปลีกตัวออกจากงานในสวนของตนเองมา  จึงต้องการใช้เวลากับหมู่พวกเดียวกันมากกว่า

อย่างไรก็ตาม  หมู่คนชุมชนคนสวนที่ออกไปใช้ชีวีตในชนบทพื้นที่ต่างๆ  ล้วนแต่มีส่วนร่วมหรือมีบทบาทเป็นผู้นำในการพัฒนาชุมชนพื้นที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ร่วม

แม้หมู่คนชุมชนคนสวนจะต่างคนต่างอยู่  ต่างคนต่างใช้ชีวิตในพื้นที่ของตน  แต่พวกเขาก็มีจุดร่วม  ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นหมู่พวกเดียวกันอย่างแรงกล้า  และมีความผูกพันกันค่อนข้างมาก

จุดร่วมที่สำคัญในหมู่พวกเขาคือ  ความเชื่อมั่นศรัทธาในวิถีชีวิตชนบท  โดยเห็นว่าเป็นวิถีชีวิตที่เอื้อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตรอบด้าน  เช่นด้านสุขภาพร่างกาย  พวกเขามองว่า  วิถีชีวิตชนบทที่ไม่ต้องเร่งรีบแข่งขันดังวิถีชีวิตในสังคมเมือง  เอื้อให้เกิดความผ่อนคลาย  ให้ระบบร่างกายปรับเข้าสู่ความสมดุลตามธรรมชาติ  และการอยู่ในเขตชนบทยังได้ใกล้ชิดธรรมชาติ  มีอากาศที่บริสุทธิ์กว่าในสังคมเมือง  อีกทั้งการได้ทำอาหารกินเองด้วยพืชผักปลอดสารพิษที่ปลูกเอง  ก็รับประกันเรื่องสุขภาพได้ทางหนึ่งด้วย  เป็นต้น

นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องของสุขภาพจิตใจ  หรือเรื่องทางจิตวิญญาณ  ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอีกอันหนึ่ง  ที่พวกเขาให้ความสำคัญคือ  การใช้ชีวิตอยู่ในชนบท  เอื้อให้เกิดการพัฒนาตนเองในด้านนี้มากกว่า  คือสภาพที่ไม่ต้องเร่งรีบแข่งขัน  ทำให้มีเวลาได้ผ่อนพักตระหนักรู้ในตนเอง  มีเวลาได้ชื่นชมความงามของธรรมชาติและสิ่งรอบตัว  ที่สำคัญและน่าสนใจคือ  เห็นว่า  การใช้ชีวิตในวิถีชนบทนี้  เอื้อเฟื้อต่อการพัฒนาความมั่นคงภายในจิตใจมากกว่าวิถีชีวิตในเมือง  เพราะวิถีชีวิตในเมืองต้องพึ่งพิงสิ่งต่างๆ  ในการใช้ชีวิตมากมายและเกือบตลอดเวลา  การเดินทางต้องพึ่งพารถยนต์ขนส่ง  การกินต้องพึ่งพาตลาด  การทำงานต้องพึ่งพาระบบที่จัดวางเอาไว้แล้ว  วิถีแห่งการพึ่งพาเช่นนั้น  ไม่เอื้อให้เกิดการพัฒนาตนเอง ไม่ได้ใช้ศักยภาพของความเป็นมนุษย์เต็มที่  ทั้งทางร่างกายและทางความคิด  แม้แต่การเดินทางก็ไม่ได้ใช้เท้าเดินสักเท่าไร  การทำงานก็ไม่ได้ใช้สมองเท่าที่ควร  แต่วิถีชีวิตชนบทมีพื้นที่สำหรับให้เรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเองในทุกด้าน  และยังเป็นฐานสำคัญของการพัฒนาชุมชน  สังคมด้วย  เป็นต้น

คุณค่าอีกประการหนึ่งที่พวกเขาเชื่อถือศรัทธาเช่นเดียวกัน และเป็นจุดร่วมสำคัญระหว่างหมู่พวกเขาคือ  การให้คุณค่าแก่วิถีเกษตรธรรมชาติเพื่อการพึ่งตนเอง  โดยการใช้คุณค่าแก่สิ่งนี้  มิใช่เพียงในแง่การหาเลี้ยงชีพในวิถีที่เกื้อกูลกับธรรมชาติเท่านั้น  หากแต่ให้คุณค่ารวมไปถึงว่า  เป็นวิถีทางของการพัฒนาบ่มเพาะความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  เป็นวิถีแห่งการฝึกฝนตนเองทางจิตวิญญาณ  ดังเกริ่นไว้ข้างต้น

ในฉบับหน้าเราจะกล่าวถึงการออกมาใช้ชีวิตในวิถีทางนี้ของพวกเขาว่า  สามารถอยู่รอดได้จริงหรือไม่  มีการประนีประนอมระหว่างความฝัน  ความคิดความเชื่อกับความจริงอย่างไร  และพวกเขาใช้วิถีชีวิตนี้ในฐานะเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนตนเองทางจิตวิญญาณ  และบ่มเพาะความอุดมสมบูรณ์ของความเป็นมนุษย์ดังกล่าวอย่างไร

ตอนที่ 2

คำถามสำคัญของการออกมาใช้ชีวิตเกษตรกรทางเลือกในเขตชนบท  ของบรรดาปัญญาชนนักฝันคือ  “จะอยู่รอดได้ไหม?”  คำถามนี้สำคัญถึงขนาดทำให้เกิดความลังเลสงสัย  จนหลายคนอาจถอยทัพกลับไปสู่ชีวิตคนเมืองดังเดิม  และอาจกล่าวเรียกการล้มเลิกความฝันว่าเป็นการยอมรับความจริง

ด้วยเงื่อนไขของคนกลุ่มนี้คือเป็น ๑)  ปัญญาชนที่ไม่ได้มีประสบการณ์เชี่ยวชาญทางการเกษตรมากนัก ๒)  เลือกเกษตรกรรมธรรมชาติ  คือการเกษตรกรรมที่ปล่อยให้ธรรมชาติจัดการตนเองโดยมนุษย์เข้าไปแทรกแซงน้อยที่สุด  ในขณะที่  ๓)  ต้องเผชิญกับสภาพธรรมชาติที่ไม่เอื้อเฟื้อ  คือสภาพผืนดินและธรรมชาติของพื้นที่ที่ไปบุกเบิกชีวิตใหม่นั้น  มีความกันดารบ้าง  สภาพดินและน้ำเสื่อมบ้าง

ทั้งสามเงื่อนไขนี้ทำให้พวกเขาต้องพบกับความยากลำบากในการที่จะพยายามอยู่รอดให้ได้ และการอยู่รอดได้ของพวกเขามีสองมิติด้วยกันคือ  การอยู่รอดทางร่างกาย  และการอยู่รอดทางจิตใจ

การอยู่รอดทางกายภาพ  คือ  มีอาหารการกิน  มีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย  มีสภาพแวดล้อมที่ดี  ได้ทำในสิ่งที่ตนเองฝัน  เชื่อ  และพึงพอใจ  ในแง่นี้สิ่งที่พวกเขาพึงพอใจและมีความสุขคือการได้ใช้ชีวิตเกษตรกรบ้านนอก  หาเลี้ยงชีพตามธรรมชาติเช่นเดียวกับชาวบ้าน  และทำสวนเกษตรกรรมธรรมชาติ  แต่เนื่องด้วยทั้งสามเงื่อนไขที่กล่าวข้างต้น   ทำให้การจะหาเลี้ยงชีพให้รอดอยู่ได้เป็นเรื่องยาก  โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นที่สวนเกษตรธรรมชาติยังไม่ให้ผลผลิตเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ

สิ่งที่ปัญญาชนคนสวนกลุ่มนี้ทำในช่วงเริ่มแรกของการบุกเบิกชีวิตใหม่คือ  การเรียนรู้จากชาวบ้าน  ดูว่าชาวบ้านหาเลี้ยงชีพจากธรรมชาติอย่างไร  เช่นเรียนรู้การหาปลาจากชาวบ้าน  เรียนรู้จักทรัพยากรธรรมชาติที่จะใช้ในการยังชีพ  รู้ว่าพืชพรรณอันไหนกินได้กินไม่ได้  เรียนรู้ว่าอะไรเป็นยาเป็นอาหาร  และพยายามหาเลี้ยงชีพตามธรรมชาตินั้นทางหนึ่ง

อีกด้านหนึ่งก็คือการ  หารายได้  โดยบางคนก็ใช้ความสามารถเดิมจากอาชีพและประสบการณ์เดิมเพื่อหารายได้ไว้หนุนการเลี้ยงชีพของตน  เช่นบางคนที่เคยเป็นนักแปลมาก่อน  ก็รับงานแปลบ้าง  บางคนที่เคยเป็นสถาปนิก  วิศวกรก็รับงานในด้านนั้นในบางช่วงเวลา  แต่ทั้งนี้  พวกเขาถือว่าตัวเองเป็นเกษตรกร  การรับงานอื่นเพื่อให้มีรายได้นั้น  ก็เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตเกษตรกรเอาไว้ได้จนกว่าจะสามารถพึ่งตนเองได้จากภาคเกษตรกรรมของตน

ส่วนบางคนก็แบ่งพื้นที่บางส่วนเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ  เพื่อหารายได้ระหว่างพัฒนาพื้นที่ส่วนที่เหลือให้อุดมสมบูรณ์ขึ้น  ส่วนบางคนก็ประณีประนอมด้วยการยอมใช้กระบวนการปรับปรุงธรรมชาติด้วยการเข้าไปแทรกแซงบางประการ  เช่นสวนฝากฝาง  ตั้งใจทำนาธรรมชาติแบบไม่ไถไม่พรวน  แต่ไม่ได้ผลผลิต  จึงได้หันมายอมไถพรวน  และปรับปรุงดินด้วยการใช้ปุ๋ยคอกและฟางคลุมดิน  จนเมื่อสภาพดินเริ่มปรับตัวดีขึ้น  จึงหันไปทำนาธรรมชาติที่ไม่ไถไม่พรวนดังความตั้งใจเดิม

ทั้งนี้  การหารายได้เพิ่มเติม  หรือการประนีประนอมของพวกเขานั้น  เป็นไปเพื่อให้ตนสามารถอยู่รอดได้ในภาคเกษตรกรรมในช่วงเริ่มต้น  มิใช่เป็นการหารายได้เพื่อแสวงหาความร่ำรวยแต่อย่างใด  และพวกเขายังถือว่างานหลักของตนคืองานเกษตรในสวนของตน งานฟื้นฟูสภาพดิน  ปลูกผักปลูกต้นไม้  และดูแลให้สวนเกษตรธรรมชาติของตนพัฒนาความอุดมสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ  ส่วนงานหารายได้เพิ่มนั้นเอาแค่พอให้เลี้ยงชีพอยู่ได้เท่านั้น  และเมื่อวิถีชีวิตของพวกเขาไม่ได้ต้องการความหรูหราฟุ่มเฟือยอะไร  ใช้ชีวิตเรียบง่าย  มีสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตแค่พอเพียง  จึงไม่จำเป็นต้องหาเงินให้มากมายแต่อย่างใด  และเมื่อสวนเกษตรของตนมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ  สามารถเลี้ยงดูชาวสวนได้มากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขาก็จะลดงานรับจ้างหารายได้ภายนอกลง  ในขณะเดียวกัน  ก็มีเวลาทำงานพัฒนาชุมชนมากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขาบางคนถึงกับกล่าวว่า  สวนเกษตรของตนเป็นฐานของการพัฒนาชุมชน  เมื่อสวนพัฒนาสมบูรณ์ยั่งยืนขึ้น  ก็จะกระจายกำลัง(ทั้งกำลังคน  ทรัพยากรและแนวคิด)ไปสู่ชุมชนมากขึ้น

การทำงานตรากตรำ  เป็นอีกประการหนึ่งที่สำคัญของการจะอยู่รอดให้ได้ในภาคเกษตร  ดังเช่นสวนไทเกษตรนั้น  ในช่วง ๔ – ๕ ปีแรกนั้นพวกเขามุมานะอยู่กับการทำสวนของตนเองโดยไม่ออกไปไหนเลย  จากเช้ามืดจนยามค่ำ  บางสวนนั้นได้พื้นที่ที่กันดารมาก  ถึงขนาดต้องรดน้ำผักทุก ๓ – ๔ ชั่วโมงแม้แต่เวลากลางคืนซึ่งเป็นยามนอนของคนทั่วไป  บางคนต้องหิ้วน้ำจากลำธารที่ห่างออกไปเพื่อมารดต้นไม้ที่ตนปลูกเอาไว้  พวกเขาตรากตรำจนมีผลผลิตเลี้ยงชีพอยู่รอดได้  และเหลือรอดอยู่ได้ในวิถีชีวิตที่ตนเลือกโดยไม่ถอยทัพกลับไป  พวกเขาบอกว่า  เมื่อเลือกวิถีชีวิตเช่นนี้แล้วต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง  ใจไม่แข็งก็จะอยู่ไม่ได้  ฉะนั้นเรื่องความเข้มแข็งทางจิตใจจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

การอยู่รอดได้ทางจิตใจ  เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการจะดำรงเอาไว้ซึ่งวิถีชีวิตเช่นนี้  เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะถูกต่อต้านจากครอบครัว  ที่เห็นว่าการลาจากสังคมเมืองที่มีอาชีพการงานแน่นอน  มีฐานะทางสังคมพอสมควรมาใช้ชีวิตเกษตรกรตรากตรำในชนบทนี้เรื่องบ้า  นอกจากพวกเขาจะไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวเท่าใดนักแล้ว  ยังถูกต่อต้าน  โน้มน้าว  ร้องขอให้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม  โดยอาจจะกดดันด้วยรูปแบบต่างๆ

นอกจากความกดดันจากครอบครัวแล้ว  ยังรวมถึงความกดดันไม่เข้าใจจากชุมชนที่ตนไปอยู่ร่วมด้วย  เนื่องด้วยพวกเขาส่วนใหญ่พึงพอใจและแสวงหาชีวิตชนบท  จึงมักเลือกพื้นที่ทำสวนใกล้กับชุมชนหมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่ง  ทั้งเพื่อเรียนรู้จากชาวบ้านด้วย  และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชุมชนด้วย  และบางคนก็มีเป้าหมายที่จะทำงานพัฒนาชุมชนร่วมไปด้วย

แม้พวกเขาจะมาอยู่ร่วมกับชุมชนด้วยความฝันที่สวยงาม แต่ชาวบ้านอาจไม่ได้มองพวกเขาสวยงามนักในตอนเริ่มต้น  บางคราวพวกเขาถูกเรียกว่าคนบ้าเสียสติ  เรียนมากจนฟั่นเฟือน  ด้วยวิถีชีวิตที่พวกเขาเลือกนั้นกลับหัวกลับหางจากสิ่งที่ชาวบ้านเห็นโดยทั่วไปในสังคม  และชาวบ้านบางคนก็ถือโอกาสเอาเปรียบเมื่อเห็นว่าพวกเขาอ่อนหัด เป็นต้น(ยังไม่นับรวมกับวิถีคิดที่ไม่ตรงกัน  และปะทะกันเป็นครั้งคราว)  ความสัมพันธ์กับชุมชนที่ไม่สวยงามและยังไม่ลงตัวในช่วงเริ่มต้น  เป็นสิ่งบั่นทอนให้พลังใจตกลงได้เช่นกัน

นอกจากนี้แล้ว  ความคาดหวังและการมองเห็นความล้มเหลวของตนเองก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งในการบั่นทอนกำลังใจ  ทำให้เกิดความลังเลสงสัย  จนบางคนอาจจะถึงกับถอนตัวออกจากทางเลือกนี้ไป  เช่นเมื่อเผชิญกับสภาพธรรมชาติที่แห้งแล้งกันดาร  เจอกับชาวบ้านที่คดโกง  เจอกับการถากถางจากคนรอบข้าง  พืชผักที่ปลูกไม่เติบโต  มองไม่เห็นผลิตผลของสิ่งที่ได้ลงแรงลงไป  สภาวะเช่นนี้ก็ทำให้สภาพจิตใจอ่อนแอจนไปต่อไม่ไหวได้เช่นกัน

ดังนั้นการพัฒนาฝึกฝนจิตใจของตนให้เข้มแข็งจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ชาวชุมชนคนสวนกระทำไปพร้อมๆกับการพัฒนาพื้นที่สวนของตนให้อุดมสมบูรณ์  เครื่องมือการฝึกฝนตนเองของพวกเขาคือ

การมองโลกในแง่ดี  ศิริพร  โชตชัชวาลย์กุล  หรือป้าปอนของชาวชุมชนคนสวนบอกว่า  ในช่วงเริ่มต้นที่ลงมือลงแรงไปเยอะ  แล้วพบว่าสวนไม่ได้เติบโตอุดมสมบูรณ์อย่างที่ฝัน  อาจจะทำให้รู้สึกว่าล้มเหลวได้  แต่ถ้ามองในอีกด้านหนึ่ง  ก็จะเห็นว่า  สิ่งที่ทำลงไปนั้นมีผลต่อความยั่งยืนในระยะยาวที่อาจมองไม่เห็นในตอนนี้  เช่นเมื่อตอนที่ป้าปอนออกมาบุกเบิกอาศรมวงศ์สนิทในสามปีแรกนั้น  มองไปรอบๆ  ยังไม่ค่อยมีต้นไม้  ยังไม่เห็นสีเขียวสักเท่าไร  แต่เมื่อคิดไปว่า  อนาคตอาศรมวงศ์สนิทจะเติบโตและยั่งยืนไปอีกยาวนานหลายปี  สิ่งที่ทำลงไปนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น  และสิ่งที่ทำลงไปไม่ได้สูญหายไปไหน  หากแต่จะเป็นฐานสำคัญของความอุดมสมบูรณ์และความยั่งยืนในอนาคตก็ทำให้มีกำลังใจขึ้นมา

ความเข้าใจและยอมรับสภาพความเป็นจริงของธรรมชาติ  พวกเขาเรียนรู้ที่จะเข้าใจและยอมรับสภาพความเป็นจริงของธรรมชาติ  โดยเห็นว่าธรรมชาติมีกระบวนการของมันเองที่จะค่อยๆ  ปรับเข้าสู่ความสมดุลย์อุดมสมบูรณ์  การทำงานหนักตรากตรำของคนสวนไม่ได้แปลว่าจะสามารถทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงจากความแห้งแล้งกันดารไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ได้โดยฉับพลัน  ฉะนั้นแล้ว  คนสวนในวิถีทางนี้จะต้องรู้จักการรอและทำหน้าที่ของตนไป  อันเป็นหน้าที่ในการเกื้อหนุนให้ธรรมชาติปรับเข้าสู่ความสมดุลย์นั้น  ยอมรับความเป็นจริงของธรรมชาติที่ค่อยเป็นค่อยไป  ลดความคาดหวังของตนเอง  มองโลกในแง่ดี  มองเห็นผลในระยะยาว

การมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ  เป็นเครื่องมือการฝึกฝนจิตใจที่สำคัญในวิถีชีวิตของพวกเขา  พวกเขาบอกว่าปลูกต้นไม้ก็ให้รู้ตัวว่ากำลังปลูกต้นไม้  ขุดดินมีสติอยู่กับการขุดดิน  เกี่ยวข้าวมีสติอยู่กับการเกี่ยวข้าว  การมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะทำให้สามารถทำงานหนักตรากตรำได้  โดยไม่รู้สึกเหนื่อยยากท้อแท้หากแต่รู้สึกเพลิดเพลิน  เพราะจิตใจได้พบกับความสงบสุขในขณะทำงาน  และได้เห็นความงามและคุณค่าของสิ่งที่ตนทำในขณะนั้นๆ  ซึ่งมีแต่เพิ่มพลังใจให้  จิตใจไม่ฟุ้งไปนึกถึงภาพหวังที่แตกต่างจากความเป็นจริงซึ่งรังแต่จะทำให้ท้อแท้

สุนทรียะ  พวกเขากล่าวว่าจำเป็นต้องมีสุนทรียะด้วย  จึงจะทำให้วิถีชีวิตนี้ยั่งยืน ที่สำคัญคือสุนทรียะในการทำงาน   ซึ่งหมายความว่ามีความสุขความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองทำ  เห็นความงามและคุณค่าของมัน  การฝึกฝนจิตใจของตนเองด้วยการมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะก็เป็นกระบวนการหนึ่งในการบ่มเพาะอารมณ์สุนทรีย์ขึ้นในตน  พวกเขาจึงสามารถมองเห็นความงามและคุณค่าของชีวิตและธรรมชาติและรู้สึกชื่นชมเปรมปรีดิ์ไปกับมัน  บทกวีแห่งความงามและคุณค่าของวิถีชีวิตมักพลั่งพรูออกมาเสมอ  แม้แต่คนที่บอกว่าตนไม่ใช่คนที่โรแมนติกอะไรเลย  แต่ก็อดกล่าวบทกวีไม่ได้เมื่อเห็นดอกไม้ที่ตนปลูกผลิบานอยู่ตรงหน้าท่ามกลางมวลหมอกในยามอรุณรุ่ง  สุนทรียะนี้แลเป็นพลังใจที่ไปหนุนเสริมให้เกิดพลังทางกาย

กัลยาณมิตร  หรือมิตรแท้ที่คอยให้กำลังใจก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเห็นว่าสำคัญ  บางคนบอกว่า  การมีคู่ทุกข์คู่ยากต่อสู้ตรากตรำด้วยกันเป็นทุนที่สำคัญเรียกว่าทุนความรัก  ที่ทำให้สามารถดำรงอยู่ในวิถีชีวิตที่เลือกนี้ได้  ยามที่คนหนึ่งท้ออีกคนก็เข้มแข็งและให้กำลังใจ  ยามอีกคนเหนื่อยล้าอีกคนก็คอยเป็นกำลังหลัก  ทำให้ไม่หวาดหวั่นที่จะต่อสู้และพยายามต่อไป  ส่วนคนที่ไม่มีคู่ชีวิตก็บอกว่าการมีเพื่อนที่รู้ใจและเข้าใจคอยให้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ

และอันเนื่องด้วยเห็นความสำคัญของการมีเพื่อนพ้องที่เข้าอกเข้าใจกัน  พูดคุยกันรู้เรื่อง  เพื่อคอยให้กำลังใจกันนี้เอง  พวกเขาจึงให้กำเนิดชุมชนคนสวน  เป็นชุมชนของคนที่เลือกวิถีชีวิตแบบเดียวกัน  มีความคิดความเชื่อ  และศรัทธาในวิถีทางแบบเดียวกัน  มีประสบการณ์ผ่านทุกข์สุขร้อนหนาวคล้ายคลึงกัน  รู้ใจกัน  ให้กำลังใจกัน  หนุนเสริมกันและกันทางจิตใจ  แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กัน  เป็นชุมชนของคน “คอเดียวกัน” ที่มีความรักความผูกพันกันมาก แม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน  …

(อ่านเรื่องราวของพวกเขาฉบับเต็มในหนังสือเรื่อง “ชุมชนคนสวน : ปัญญาชนทวนกระแส”  สำนักพิมพ์เสมสิกขาภายในต้นปีหน้า  ติดต่อได้ที่อาศรมวงศ์สนิทค่ะ)