ความเป็นมา
เมื่อปี ๒๕๒๗ มูลนิธิเสฐียรโกเศศ นาคะประทีป ได้รับบริจาคที่ดินจำนวน ๓๔ ไร่ ๒ งาน จากทายาท ม.จ.ศุภสวัสดิ์ วงศ์สนิท และหม่อมเสมอ สวัสดิวัตน์ คือ ม.ร.ว.สายสวัสดี สวัสดิวัตน์
คำว่า อาศรม เป็นภาษาสันสกฤต ในบริบทที่นำมาใช้หมายถึง สถานที่หรือชุมชนของบุคคลที่รักความสงบ เคารพคุณค่าของธรรมชาติ พร้อมกับอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ตลอดไปบนพื้นฐานของการ ภาวนาและสันติ ส่วนวงศ์สนิท นั้น เพื่อเป็นเกียรติแก่บิดาของท่านผู้มอบที่ดินให้ คือ ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ จึงได้ตั้งชื่อว่า อาศรมวงศ์สนิท โดยกำหนดให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่แสวงหามิติที่ลึกซึ้งทางจิตวิญญาณของคน รุ่นใหม่ และเป็นที่พักในยามเหนื่อยล้าของนักกิจกรรมทางสังคม
ปี พ.ศ.๒๕๓๑ องค์กรศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือองค์การยูเนสโก ประกาศให้พระยาอนุมานราชธนเป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม ทางมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป จึงสร้างอนุสรณ์สถานพระยาอนุมานราชธนขึ้น ณ อาศรมแห่งนี้ เพื่อเป็นศูนย์กิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมทางเลือก มีสัณฐาคารสำหรับประชุมสัมมนา และทำสมาธิภาวนา พร้อมทั้งเรือนพักใหญ่น้อยที่เรียบง่าย สำหรับผู้เข้ามาร่วมทำกิจกรรมได้พักอาศัย
เกษตรธรรมชาติ เป็นอีกส่วนหนึ่งในการรองรับด้านสวัสดิการชุมชน ให้มีผัก ผลไม้ ที่ปลอดสารพิษบริโภคในชุมชน รวมทั้งเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารของฝ่ายงานบ้านพักสัมมนา เพื่อให้ผู้มาใช้สถานที่ได้มีโอกาสบริโภคอาหารที่มีคุณค่า โดยมีกระบวนการผลิตแบบธรรมชาติ นำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีขึ้นของชุมชน และผู้ใช้บริการ
อาศรมวงศ์สนิทได้เปิดตัวออกรับใช้สังคมในวงกว้างขึ้น ด้วยเห็นว่าเมื่อได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพตัวเองแล้ว ควรนำศักยภาพนั้นออกมารับใช้สังคม เป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างสังคมให้น่าอยู่จึงได้พัฒนาโครงการใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นที่ทำงานทั้งภายในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน โดยมียุทธศาสตร์ที่การศึกษาทางเลือกเพื่อการพัฒนา



































































อาศรมวงศ์สนิทตั้งอยู่ที่บริเวณคลอง ๑๕ หมู่ที่ ๓ ต. คลองใหญ่ อ. องครักษ์ จ. นครนายก เดิมทีเดียวเป็นที่นาเก่า เป็นคลองสาขาของคลองรังสิต (คลอง ๑๕) ขนาบอยู่สองด้านของผืนดิน มีลักษณะเป็นดินเปรี้ยว น้ำมีรสเปรี้ยว ไม่เหมาะแก่การทำเกษตรอย่างยิ่ง แต่ปัจจุบันดินได้รับการฟื้นฟูจนสามารถปลูกผักและต้นไม้ได้ ทำให้อาศรมวันนี้อุดมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์
วิธีการเข้าออกของอาศรมมีทางเดียวคือ การใช้โป๊ะข้ามคลอง แม้ค่อนข้างไม่สะดวกแต่ชาวอาศรมถือว่าโป๊ะเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมดีอยู่แล้ว แสดงถึงความเรียบและทำให้ยากแก่การเข้าถึงเพื่อลดความอึกทึกพลุกพล่านในระดับหนึ่ง
เมื่อสาวโป๊ะข้ามฝั่งคลองมาแล้ว จะมีศาลา “นักษัตร” ที่ท่าน้ำไว้นั่งพัก ถัดจากศาลาท่าน้ำนี้ขึ้นมาเป็นเขตพื้นที่ของชุมชน มีคันดินสูงประมาณสองเมตร กว้างสองถึงสามเมตรกั้นล้อมรอบพื้นที่ ๓๔ ไร่ คันดินนี้สร้างตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ หลังจากน้ำท่วมใหญ่เพราะพายุอีล่าเมื่อปี ๒๕๓๓ วัตถุประสงค์หลักเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
นอกจากนั้นยังมีการวางผังขุดสระและร่องน้ำเชื่อมต่อกันทั้งพื้นที่เพื่อการระบายน้ำเข้า-ออก ดินที่ได้จากการขุดสระและร่องน้ำก็นำมาถมพื้นที่ปรับยกให้สูงขึ้นให้พ้นจากระดับน้ำท่วมถึง
๑) สัณฐาคาร

เรือนเสงี่ยมเสมอ ตั้งตามชื่อของคุณย่าและคุณแม่ของผู้บริจาคที่ดิน (ม.ร.ว.เสงี่ยม ในสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัฒนวิศิษฐ์และหม่อมเสมอ สวัสดิวัตน์) ปัจจุบันชั้นบนเป็นที่พักเจ้าหน้าที่อาศรมและใช้รับรองแขกบางโอกาส ส่วนชั้นล่างเป็นที่รับประทานอาหาร
ด้านหน้าวรรณาคาร ได้สร้างศาลาพวงร้อยขึ้น ด้วยทุนของทายาทท่านผู้หญิง ม.ล. พวงร้อย อภัยวงศ์ ซึ่งเป็นธิดาของม.ร.ว. สุวพรรณ สนิทวงศ์ พี่ชาย ม.ร.ว. เสงี่ยม โดยที่ท่านผู้นี้ได้บุกเบิกทุ่งและคลองรังสิตทั้งหมด นับเป็นงานชิ้นสำคัญของกรุงสยามเมื่อศตวรรษที่แล้ว
๔) บ้านดิน
หอประชุมศุภสวัสดิ์ ตั้งชื่ออาคารตามพระนามของ ม.จ. ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท แต่มักเรียกกันว่า “หอประชุมบ้านดิน” เป็นตัวอย่างบ้านดินที่กำลังได้รับความสนใจในปัจจุบัน ใช้เป็นที่จัดกิจกรรมประชุมสัมมนาภาคกลางวัน จุคนได้ประมาณ ๓๐ – ๕๐ คน ด้านหน้าและด้านหลังมีศาลาน้ำชาที่ทำด้วยดินอีกสองหลัง สำหรับเป็นที่ประชุมกลุ่มย่อย

๕) บ้านพักเรือนไทย