สื่อสารกับปัญญาธรรมชาติ

Posted on

สื่อสารกับปัญญาธรรมชาติ

เขียนโดย เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ
ที่มา http://www.nationejobs.com/content/worklife/afterwork/template.php?conno=714


การสื่อสารกับเทพเป็นเรื่องของภูมิปัญญาดั้งเดิมที่มีอยู่ในสังคมไทย แต่เราไม่เข้าใจความลึกซึ้งของการหยั่งรู้ด้วยจิตในการสื่อสารกับธรรมชาติ เรื่องนี้มีคำอธิบายโดยแม่มดฝรั่งชื่อ โดโรธี แม็คเคลน วัย 80 ปี ผู้บุกเบิกชุมชนฟินด์ฮอร์นบนชายฝั่งทะเลอันแห้งแล้งทุรกันดารของสกอตแลนด์

คุณเคยเห็นแม่มดไหม? เชื่อไหมว่าแม่มดมีจริง?

บางคำตอบอาจกล่าวว่า ถูกจับเผาหมดสิ้นไปตั้งแต่ยุคกลางของยุโรปเมื่อหลายร้อยปีก่อน ครั้งที่คริสตังเรืองอำนาจ บางคนอาจเห็นเป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก มีตุ๊กตาผู้หญิงแก่ขี่ไม้กวาดดูน่ารักน่าเอ็นดูให้ถวิลหาถึงเรื่องเล่ามหัศจรรย์ อาจเป็นเพียงนิยายสนุก หนังมินิซีรีส์ของฝรั่ง ฯลฯ หรืออาจเป็นอะไรอีกหลายอย่างที่แสนห่างไกลจากการรับรู้ จากชีวิตประจำวัน ทั้งที่ในกระบวนการการรับรู้และสื่อสารกับโลกอีกแบบหนึ่ง คนประเภทที่ถูกเคยถูกนิยามว่า ‘แม่มด’ กำลังมีชีวิต ดำรงความเชื่อ ขยายตัว ก่อรากสร้างชุมชนของตนอย่างเข้มแข็ง เป็นชุมชน ‘New Age’ ที่หมายถึงกลุ่มชนซึ่งสื่อสารกับเทพ กับโลกทางจิตวิญญาณ ให้เกิดการพัฒนาความรู้ที่ได้จากการหยั่งรู้ด้วยจิตโดยตรง (Intuition) และนำ ‘สาร’ อันเป็นประโยชน์นั้นมาปฏิบัติ ทดลอง นำเสนอต่อชาวโลก ชุมชนเช่นนี้มีมากมายหลายชุมชน กระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งเป็น ‘กระแสใหม่’ ของโลก เป็นดั่งอนาคตของโลกยุคปัจจุบัน

1.

เมื่อไม่นานมานี้ดิฉันได้มีโอกาสพบกับ ‘แม่มดฝรั่ง’ คุณโดโรธี แม็คเคลน อายุกว่า 80 ปี ผู้บุกเบิกก่อตั้งชุมชนฟินด์ฮอร์น (Findhorn) บนชายฝั่งทะเลอันแห้งแล้งทุรกันดารของสกอตแลนด์ เมื่อ 40 ปีก่อน ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน คือ ปีเตอร์และไอลีน แคดดี้ ใช้การสื่อสารกับเทพเจ้าในพื้นที่นั้น ขอความรู้มาเปลี่ยนแปลงเนินทรายอันเต็มไปด้วยวัชพืชและอากาศแปรปรวน ให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรอินทรีย์อันอุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกกะหล่ำปลีหัวใหญ่ได้หนักถึง 18 กิโลกรัม จนเมื่อเวลาล่วงผ่านหลายต่อหลายปี ทั้งที่ฟินด์ฮอร์นมีสมาชิกปัจจุบันอาศัยอยู่เพียงประมาณ 200 คนเท่านั้น ถึงขณะนี้ฟินด์ฮอร์นเป็นชุมชนที่แม้สหประชาชาติก็ให้ความสนใจ ในแง่ของการแสวงหาวิถีทางดำเนินชีวิตในสังคมตะวันตกที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

ไฟฟ้าที่ใช้ในชุมชนเป็นไฟฟ้าที่ผลิตได้เองจากกังหันลมตัวใหญ่ริมทะเล ในบางฤดูมีพลังงานเหลือพอที่จะขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของรัฐ ระบบบำบัดน้ำเสียใช้ระบบธรรมชาติให้น้ำไหลผ่านเรือนกระจกที่ปลูกพืชหลากชนิดเพื่อซับของเสียออกจากน้ำก่อนจะปล่อยลงทะเล เป็นระบบบำบัดน้ำเสียที่ไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ต้องเปลืองพลังงานไฟฟ้า และในชุมชนฟินด์ฮอร์นเรื่องโดดเด่นอย่างมากก็คือ โครงการสร้างบ้านเชิงนิเวศน์ (Eco Village) ที่ระบบทำความร้อนในบ้านใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เป็นส่วนใหญ่ ผนังห้องสามารถถ่ายเทอากาศได้ วัสดุที่ใช้ไม่มีพิษ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เมื่อเข้าไปอยู่ข้างในให้ความรู้สึกโปร่ง สงบ สบาย ผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

แต่ที่น่าสนใจก็คือ สิ่งที่ฟินด์ฮอร์นมีอิทธิพลต่อชุมชนทางเลือกต่างๆ ทั่วโลก และกับบุคคลที่มีความสนใจในการเติบโตทางจิตวิญญาณ มีคนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศหมุนเวียนเข้ามาดูงาน มาศึกษาอบรมในหลักสูตรต่างๆ ที่ทางฟินด์ฮอร์นจัดขึ้น ส่วนมากเป็นวิชาที่ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย ดังเช่น การทำสมาธิภาวนาเพื่อสังคม การศึกษาองค์รวม การสร้างชุมชนเพื่อสิ่งแวดล้อม ความรัก เพศรส และความศักดิ์สิทธิ์ ศิลปะเพื่อการเยียวยา การบริหารจัดการองค์รวม การสื่อสารกับเทวะอันเป็นปัญญาในธรรมชาติ การเข้าทรงเพื่อการรักษาโรคเรื้อรัง นิเวศน์แนวลึก การปลีกวิเวกในโลกธรรมชาติเพื่อหานิมิตหมายแห่งชีวิต ฯลฯ

เมื่อได้รู้ว่าคุณโดโรธี แม็คเคลน ผู้ก่อตั้งชุมชนฟินด์ฮอร์นมาเมืองไทย ตามคำเชิญของมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน ที่มุ่งหวังจะเปิดเวิร์คชอปให้คุณโดโรธีมาฝึกคนไทยให้สามารถติดต่อ เชื่อมต่อกับเทพกับปัญญาธรรมชาติ และทางคุณเดชา ศิริภัทร ได้ชวนดิฉันให้ร่วมในการฝึกอบรมครั้งนี้ ดิฉันรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง สิ่งแรกที่นึกออกก็คือ โทรศัพท์ไปหาไมเคิล ผู้ก่อตั้งชุมชนโพธิฟาร์ม ชุมชนทางเลือกในออสเตรเลีย บอกว่า-นี่ไมค์ฉันจะได้พบกับคุณโดโรธีของฟินด์ฮอร์นแล้วนะ

ไมเคิลหัวเราะร่วน ตอบกลับมาว่า -เธอโชคดีมาก เพราะเคยมีคนจากโพธิฟาร์มเข้าไปศึกษาดูงานที่ฟินด์ฮอร์นหลายครั้ง แต่ไม่ได้เจอคุณโดโรธีเลย ผมขอให้เธอใช้เวลา 3-4 ที่ฝึกอบรมให้มีค่ามากที่สุดด้วยนะ

เป็นเรื่องแปลกสำหรับดิฉันมากพอสมควรที่ต้องเจอกับแม่มดฝรั่ง เพราะจินตภาพของดิฉันมันมีประมาณ ‘แม่มดเจ้าเสน่ห์’ หนังชุดสมัยก่อน หรือพวกแม่มดหมอผีอายุพันปีในทีวีไทย ที่หน้าตาบึ้งๆ เฉยๆ แต่งหน้าจัดเขียนขอบตาดำปี๋ ใช้เวทมนต์คาถาพยายามเสกมนต์ดลใจให้พระเอกหนุ่มที่กลับชาติมาเกิดตกหลุมพลั่กไปเป็นผัว แต่พอมาเห็นคุณโดโรธี นั่งยิ้มกว้าง ตาใสแป๋วเหมือนตาเด็ก ตัวใหญ่แข็งแรงมากๆ สำหรับคนอายุ 80 ปี และคุณจูดี้ผู้ช่วย ซึ่งหน้าตาอ่อนหวาน ยิ้มอายๆ และพูดจาตลกให้หัวเราะก้าก อีกทั้งยังอ่อนไหวสะเทือนใจกับมิตรไมตรีของเพื่อนชาวไทย จนต้องปาดน้ำตาออกจากแก้มบ่อยๆ ดิฉันก็รู้สึกผ่อนคลายมาก และอยากเห็นจริงๆ ว่าคุณโดโรธีจะใช้เวลาฝึกคนไทยผู้เข้าร่วมอบรมประมาณ 20 คน ซึ่งมีทั้งชาวนา ชาวบ้าน ครูท้องถิ่น พนักงานหน่วยงาน NGO เพียงแค่ 3 วัน พวกเราจะสามารถ ‘แตะต้อง’ หรือ ‘เดินข้าม’ พรมแดนแห่งการรับรู้ไปสู่การเชื่อมต่อกับ ‘เทวะ’ ผู้เป็น ‘ปัญญาของธรรมชาติ’ กันได้มากเพียงใด

2.

การฝึกอบรมครั้งนี้ทำกันที่มูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี โดยมีคุณประชา หุตานุวัตร เป็นล่ามตลอดรายการ เริ่มแรกคุณโดโรธีเล่าถึงตัวเองกับการเข้าสู่โลกแห่งการสื่อสารกับเทพ (รายละเอียดอยู่ในหนังสือ เพื่อรักและประจักษ์ปัญญาธรรมชาติ เรียบเรียงโดยศึกษิต เทพศึกษา ของอาศรมวงศ์สนิท) จากนั้นคุณโดโรธีถามถึงประสบการณ์ของแต่ละคนว่า ทำไมจึงมาเข้าร่วมในการอบรมครั้งนี้ ซึ่งแต่ละคนที่มานั้น คุณเดชา ศิริภัทร ได้คัดเลือกเอาคนที่เคยฝึกสมาธิ เคยเจริญวิปัสสนามาก่อน เพื่อที่จะสามารถเชื่อมต่อการฝึกทางจิตวิญญาณจากคุณโดโรธีได้เร็วขึ้น

แต่ละคน ต่างมีคำตอบส่วนตัวแตกต่างกันไป สำหรับดิฉันเองนั้น แลกเปลี่ยนให้คุณโดโรธีฟังว่า ดิฉันได้พบ-ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีที่เขียนหนังสือมา หลายครั้ง เราไม่ได้เขียนเอง ตั้งแต่ยังใช้พิมพ์ดีด หรือพัฒนามาสู่การใช้คอมพิวเตอร์ มีบ่อยครั้งที่เราไม่รู้ว่าขณะนั้นกำลังเขียนอะไร มันไหลพรวดๆ ออกมาชนิดแทบพิมพ์ไม่ทัน บางครั้งหลับไปแล้ว ยังต้องลุกขึ้นมาเขียนๆๆ จนถึงเช้า แล้วก็หลับต่อ เขียนปราดๆ ไป ทั้งที่ไม่เคยวางพล็อตมาก่อน อาการอย่างนี้มักเกิดกับงานวรรณกรรมและงานบทกวี

ส่วนงานเขียนสารคดีจะมีผ่านเข้ามาเป็นช่วงๆ และทำให้ดิฉันฉงนสงสัยว่า ประสบการณ์แบบนี้คืออะไร ได้เคยคุยกับเพื่อนนักเขียนด้วยกัน บางคนก็พบประสบการณ์เดียวกัน แต่บางคนก็ไม่พบ โดยเฉพาะพวกนักข่าวที่งานอ้างอิงบนฐานข้อมูลที่เป็นจริงมากๆ จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าถามคนที่เขียนนิยาย วรรณกรรม บทกวี หรือแม้แต่คนวาดภาพ คนแต่งเพลง จะพบประสบการณ์เช่นนี้บ่อย

เหมือนเราไม่ได้ผลิตงานนั้นเอง แต่มีบางสิ่งใช้เราเป็นสื่อกลาง ด้วยเหตุนี้การเขียนหนังสือของดิฉันมายาวนานถึง 20 กว่าปี จึงทำให้เข้าใจอย่างหนึ่งว่า ทำไมคนเขียนหนังสือหรือจิตรกรโบราณถึงไม่ลงชื่อเอาไว้ เพราะสิ่งที่ผลิตออกมา มันไม่ใช่งานของเรา แต่เป็นการทำงานร่วมกัน ระหว่างพลังศักดิ์สิทธิ์และตัวผู้ปลดปล่อยงานนั้นออกมา

แม้จะมีการพยายามอธิบายในกรอบของโลกทัศน์ปัจจุบันว่า จิตรกรโบราณสร้างงานด้วยศรัทธาในพุทธศาสนา จึงไม่ลงชื่อไว้ ซึ่งคำอธิบายนี้มีส่วนจริงอยู่ด้วย เพราะคนทำงานศิลปะยุคที่ผ่านมาอุดมคติของพวกเขา ก็เช่นเดียวกับอุดมคติของทั้งสังคมไทย คือเป็นไปเพื่อการบรรลุนิพพาน นั่นทำให้จิตรกร ปฏิมากร หรือคนทำงานศิลปะทุกด้านส่วนใหญ่ต้องปฏิบัติภาวนากันอยู่แล้ว แต่ความจริงเบื้องหลังที่ดิฉันค้นพบก็คือ ในการสร้างสรรค์งาน มันไม่ใช่งานของเราเพียงลำพัง เราเป็นเพียงสื่อกลาง จะเรียกว่าเป็น ‘ร่างทรง’ ของพลัง ที่สื่อสารผ่านมาทางตัวเราก็ว่าได้

แลกเปลี่ยนกันพอหอมปากหอมคอ คุณโดโรธีก็เริ่มฝึก ให้เราหลับตา นั่งในท่าสบายที่สุด และระลึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด เรานั่งกันเป็นเวลานานพอสมควร ผู้เข้าอบรมหลายคนออกจากสมาธิมาด้วยน้ำตาอาบแก้ม เกิดปีติ และสะเทือนใจ ช่วงวาระแห่งความสุขเป็นเสมือนช่วงเวลาที่ชำระจิตให้บริสุทธิ์ใสสะอาด และคุณโดโรธีสั่งให้เราจำสภาพจิตใจนี้ไว้ให้ดี

วันที่ 2 และวันที่ 3 นั้น คุณโดโรธีฝึกให้เราสื่อสารติดต่อกับพลังในธรรมชาติ เราอาจเรียกพลังนั้นว่า ‘เทพ’, หรือ ‘ปัญญาธรรมชาติ’ คุณโดโรธีอธิบายว่า อย่างต้นข้าวนั้นก็มีเทพของ ‘ข้าว’ เป็นสากล ดูแลข้าวทั่วทั้งโลก เทพของต้นถั่วก็จะดูแลถั่วทั้งโลก วิญญาณหรือพลังของเทพนี้มีอยู่แล้วในธรรมชาติ และคุณโดโรธีก็กล่าวว่า พลังหรือเทพเหล่านี้เกิดขึ้นใหม่ได้ อย่างเช่นมูลนิธิข้าวขวัญตั้งมากว่า 10 ปี เมื่อคุณโดโรธีนั่งสมาธิ ก็ได้ติดต่อกับเทพประจำพื้นที่ พบว่ามี 2 องค์ คือพระภูมิหรือเทพประจำพื้นที่ที่มีมานาน กับเทพอีกองค์หนึ่งยังเด็กอยู่ อายุประมาณ 10 ปี ซึ่งคือเทพประจำมูลนิธิข้าวขวัญที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่

คุณโดโรธี กล่าวว่า พลังจากคนในมูลนิธิ ความตั้งใจต่องานที่ทำ และคนที่มาเกี่ยวข้อง ทั้งหมดนี้ได้สร้างเทพขึ้นมาและเติบโตขึ้นตามพลังที่ได้รับ อีกทั้งเทพจะสามารถมาช่วยงานมูลนิธิข้าวขวัญได้ ถ้าเราสามารถเชื่อมต่อกับเทพได้ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดกับชุมชนฟินด์ฮอร์น

ในครั้งแรกสุดที่ฝึกติดต่อกับเทพนั้น คุณโดโรธีเอากระถางกล้วยไม้แวนด้าสีเหลือง มาตั้งกลางวง โดยผู้อบรมนั่งล้อมรอบในระยะห่างประมาณ 6-7 เมตร และคุณโดโรธีให้เราหลับตา ชำระจิตให้สู่สภาวะบริสุทธิ์อย่างที่เราได้ฝึกมาเมื่อวันวาน ดิฉันเองนั้นเคยฝึกวิปัสสนาสายหลวงพ่อเทียนติดต่อกันอยู่หลายปี จน ‘จำ’ สภาวะจิตอันนิ่งสงบที่เคยฝึกผ่านมานั้นได้ดี เมื่อเข้าสมาธิจึงกลับไปสู่สภาวะจิตนั้น และเมื่อเกิดนิมิตว่าสามารถสนทนากับเทพประจำกล้วยไม้ได้ จึงตั้งใจถามกันด้วยคำถามทางกายภาพ เอาที่พิสูจน์ได้อย่างชัดๆ ลงไปเลยว่าคำตอบที่ได้มา-ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อหรือประสาทหลอน

เทพกล้วยไม้และดิฉันคุยกันเยอะ แต่คำถามแรกที่ดิฉันถามก็คือ-คุณมีกี่ใบ มีกี่ราก

เทพกล้วยไม้ตอบมาเป็นเสียง สวนกลับมาทันที – 14 ใบ 47 ราก

หลังจากนั้นเมื่อออกจากสมาธิ ดิฉันบอกเพื่อน NGO 2-3 คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า – เฮ้ยประหลาดดี กล้วยไม้บอกพี่ว่ามี 14 ใบ 47 ราก มันจริงรึเปล่านี่!

เรานั่งห่างออกมา ใบแวนด้ามองเห็นเรียงๆ กันเป็นขยุ้ม ส่วนรากนั้นพันกันมั่ว เราช่วยกันนับจากที่ไกลๆ นับเท่าไหร่ก็ไม่รู้จำนวน พวกเรา 2-3 คนจึงเข้าไปนั่งแยกใบนับกันทีละใบ…ทีละใบ

นับสองครั้ง สามครั้ง ใบกล้วยไม้เรียงตัวได้ครบ 14 ใบเป๊ะ จนดิฉันอึ้งกิมกี่ ใจหายแวบ เพราะว่าตรงๆ ก็คือ ไม่เชื่อ! ในสิ่งที่ได้ยินเทพพูด ดิฉันกลอกตามองหน้าน้อง NGO ทั้งสองคน อีกคนหนึ่งนั้นเป็นหมอกะเหรี่ยง มานั่งนับอยู่ด้วยกัน พอเห็นจำนวน 14 ใบอย่างที่เทพกล้วยไม้ระบุมา เราถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วครู่ เตรียมนับรากว่าได้ 47 รากรึเปล่า แต่จนปัญญาเพราะรากพันกันมั่ว จนแยกออกมาก็ขาดร่วงคามือมันซะตรงนั้น

คุณโดโรธีหัวเราะขำ เมื่อดิฉันรายงานผล เธอถามว่าไปอยากรู้ทำไมกับจำนวนใบกล้วยไม้ มีเรื่องอื่นน่าถามเทพกล้วยไม้ตั้งเยอะ เป็นเธอ เธอจะเดินไปนับเอาเองเลย

แต่สำหรับดิฉัน…ถามกันจะจะอย่างนี้ล่ะ สำคัญที่สุด เอาคำตอบที่พิสูจน์ได้ เห็นๆ กันไปเลย เหมือนดังเดิมพันตรงนั้นว่า จะฝึกต่อหรือจะเลิก เพราะเรื่องทางจิตวิญญาณนี้มันยากที่จะเชื่อ มันจริงเฉพาะบุคคล แต่ไม่ใช่ประสบการณ์ร่วมของทุกคน และไอ้ที่จริงของแต่ละคนนั้น ก็ยังมีอาณาเขตกว้างขวางซะจนเฉียดฉิวกับอาการ ‘ประสาทหลอน’ หรือกระทั่งเพ้อเจ้อ…ไปได้

3.

ตลอดสองวันที่ติดต่อกับเทพ ดิฉันยังได้สนทนากับ แม่โพสพ, เทพประจำต้นไทร, พระภูมิเจ้าที่,เทพประจำประเทศไทย…แต่ละหัวข้อ แต่ละคำตอบ มีความประหลาดอยู่หลายอย่าง ผู้เข้าร่วมอบรม 2-3 คนสามารถสื่อสารกับเทพได้อยู่บ้างเหมือนกัน แม่โพสพนั้นดิฉันเห็นรางเลือนในชุดสีแดง มีบทสนทนาหลายเรื่องที่ระหว่างคุยกันรู้สึกผ่อนคลายและรื่นรมย์

จนท้ายสุดดิฉันถามเทพว่ามีอะไรจะสอนหนูไหม ท่านตอบมาว่า โลกนี้สวยงาม ค้นให้พบความงามนั้น จะเป็นพลังให้ลูกทำความดีต่อไป ในยามลูกทุกข์ แม่อยู่ไม่ห่างเจ้า อยู่ในส่วนลึกสุดของจิตใจเจ้า อยู่กับเจ้าเสมอ…ดิฉันยังถามอีกว่า แล้วเราจะพบกันอีกได้อย่างไร ท่านตอบว่าท่านอยู่ในจิตใจดิฉัน ให้ค้นหาในจิตใจตัวเองแล้วจะพบท่าน

ยังมีเรื่องของเทพประจำประเทศไทยอีกที่ดิฉันได้สนทนาด้วยในหลายประเด็น ถามถึงเหตุการณ์ต่างๆ และถามอย่างหนึ่งว่า ท่านดูแลปัตตานีด้วยไหม เทพตอบว่า ที่ปัตตานีมีเทพดูแลอยู่แล้ว

อันนี้เทพไม่ได้ปฏิเสธ แต่บอกเพิ่มมา ดิฉันจึงถามต่อว่า แล้วเทพประจำปัตตานีเป็นอิสลามหรือเปล่า

ท่านตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ชัดมาก คำตอบที่ดิฉันไม่เคยนึกมาก่อนคือ-เทพไม่มีศาสนา

บทสนทนาข้างต้นเป็นเพียงบางตัวอย่างเท่านั้น สิ่งที่ดิฉันค้นพบถึง ‘หนทาง’ ในการเชื่อมต่อกับเทพจากการฝึกกับคุณโดโรธีนั้น มีความสัมพันธ์อยู่บ้างกับการฝึกสมาธิแบบพุทธที่ดิฉันเคยฝึกมา หนทางของคุณโดโรธีเป็นวิธีการแบบ ‘สมถะภาวนา’ ส่วนวิธีการที่ดิฉันฝึกมาเป็นสายวิปัสสนา แต่สามารถปรับเข้าหาแนวทางของคุณโดโรธีได้ ในการทำสมาธิแบบพุทธนั้น เมื่อถึงจุดที่จิตเข้าสมาธิและเกิด ‘นิมิต’ การฝึกทางพุทธให้ทิ้งไปทั้งหมด เพราะไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ แต่วิธีการสื่อสารกับเทพนี้ เรามุ่งตรงไปสู่การเชื่อมต่อกับนิมิตนั้นเลย เหมือนขับรถมาและเปลี่ยนเลนเข้าสู่การสนทนากับนิมิต ปรับคลื่นในตัวเราเข้ากับคลื่นของเทพ จนสามารถสื่อสารกันได้ และได้รับข่าวสารอีกหลายอย่าง

อันนี้ก็น่าจะเป็นวิธีเดียวกับที่เกจิอาจารย์ คนเข้าทรงในเมืองไทยใช้ดูของหาย หาตัวเลขใบ้หวย สารพัดสารพันอย่างที่เมืองไทยได้อุ่นหนาฝาคั่งในเรื่องทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีทั้งจริงมั่ง หลอกมั่ง และหากสติไม่แข็งแรงหลงเตลิดไป โอกาสในการก้าวสู่พลังทางลบก็มีอยู่สูงมากเช่นกัน

แต่เจตนาของคุณเดชา ศิริภัทร แห่งมูลนิธิข้าวขวัญ ที่จัดอบรมการสื่อสารกับปัญญาธรรมชาตินี้ขึ้น ก็เพราะมองเห็นผลในทางบวก ดังที่เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า

“ทางชุมชนฟินด์ฮอร์นปลูกผักกินเอง แต่เขาไม่มีความรู้ทางการเกษตร เลยไปถามเทพประจำพืชที่เขาปลูก ว่าจะปลูกอย่างไร อย่างกะหล่ำปลีเขาปลูกในที่ไม่อุดมสมบูรณ์ อากาศก็ไม่ดี แต่ได้หัวละ 18 กิโลกรัม พวกเรานักเกษตรถึงใส่ปุ๋ยฉีดยาก็ทำไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเราติดต่อกับเทพแบบนี้ได้ เมื่อเราปลูกข้าว เราติดต่อกับเทพประจำข้าวหรือแม่โพสพ เราก็ให้ท่านแนะนำว่าจะปลูกข้าวโดยไม่ใช้สารเคมีอย่างไรให้ได้ผลผลิตเยอะๆ คุณภาพดีๆ ปลูกง่ายๆ ผมคิดแบบนักเกษตร”

อันที่จริงการสื่อสารกับเทพนี้ ถือเป็นรากเหง้าของสังคมไทยมาแต่ดั้งเดิมแล้ว เรามีความเชื่อพิธีกรรมเกี่ยวกับแม่ธรณี แม่คงคา แม่โพสพ รุกขเทวา แม่ย่านางรถเรือ พระภูมิเจ้าที่ ผีบ้านเสื้อเมือง แม่ ฯลฯ คอยคุ้มครองรักษา แต่คนไทยกลับไม่ยอมรับรากเหง้าของตัวเอง คนรุ่นนี้ง่ายยิ่งกว่าที่จะไปหลงกับพืชจีเอ็มโอ ทั้งๆ ที่มีโทษ แต่กลับยอมรับกันอย่างง่ายๆ ส่วนความเชื่อเรื่องเทพ เรื่องจิตวิญญาณจะมาช่วยพัฒนาชีวิตให้มีคุณภาพโดยไม่ทำลายโลกและสิ่งแวดล้อม กลับเป็นเรื่องน่าอาย ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับ กล้าแสดงชัดแจ้งว่าเชื่อหรือศรัทธา ทั้งที่ต่างดูหมอ ดูฮวงจุ้ย เปลี่ยนชื่อ ดูฤกษ์ยาม กับหาหมอผีไทยหมอผีเขมรสะเดาะเคราะห์กันให้ควั่ก!

และการสื่อสารกับปัญญาธรรมชาติที่แม่มดฝรั่งอย่างคุณโดโรธี แม็คเคลนและคุณจูดี้มาฝึกให้กับคนไทย จึงเสมือนการที่คุรุฝรั่งย้อนกลับไปนำสิ่งมีค่าดั้งเดิมของสังคมเรามาช่วยปัดฝุ่น ช่วยแนะแนวทาง ให้เราได้เดินสู่กระแสใหม่ของชาวโลก

ด้วยต้นทุนอันมั่งคั่งจากสังคมของเราเอง