ตราไว้ในดวงจิต ตอน3

Posted on

ตอนที่ ๓ เรียนรู้

ที่มา : หนังสือ ตราไว้ในดวงจิต บันทึกเรื่องราวอาศรมวงศ์สนิทยุคบุกเบิก เขียนโดย ศิริพร โชติชัชวาลย์กุล


014

เพื่อนที่อยู่ด้วยกันที่อาศรมวงศ์สนิทที่เป็นผู้ชายนอกจากลุงสมชายแล้วก็มีอีกสองคน คนหนึ่งทอดแหเป็นอยู่แล้วคือคุณสันติสุข ก็มักทอดแหเอาปลาซิวที่ว่ายเป็นกลุ่มอยู่ตามท่าน้าหน้าบ้านป้าแดงที่เราขออาศัย ได้ครั้งละสิบกว่าตัวมาทอดเป็นอาหาร ส่วนอีกคนหนึ่งคือคุณพรหมก็หัดทอดแหได้ในเวลาไม่นาน ลุงสมชายนั้นไม่ถนัดในทางนี้ก็เลยไม่หัดอย่างจริงจัง สำหรับป้าปอนยิ่งแล้วใหญ่ มันเป็นสิ่งที่ยากเกินไปที่จะหัดในเวลานั้น แล้วยังมีสิ่งอื่นที่ง่ายกว่าอีกตั้งหลายอย่างที่ป้าปอนก็ยังทำไม่เป็น ได้แต่หมายมั่นเอาไว้ในใจว่าสักวันหนึ่งรอให้เก่งกว่านี้จะต้องหัดทอดแหบ้าง ป้าแดงเป็นผู้หญิงยังทอดแหได้ ช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี ๒๕๒๗ ปีแรกที่เรามาอยู่นี้เรายังหาปลาอย่างอื่นนอกจากปลาซิวไม่เป็น ก็เลยกินแต่ปลาซิวเป็นหลัก

ป้าปอนมีเรื่องต้องหัดหลายอย่าง ตั้งแต่พายเรือ ว่ายน้า ขุดดิน ฟันหญ้า ปลูกต้นไม้ ล้วนแต่ไม่เคยทำมาก่อนทั้งสิ้น อันที่จริงบ้านเกิดป้าปอนที่ชุมพรนั้นเป็นหมู่บ้านชาวประมง พ่อก็เป็นชาวประมงที่เก่งคนหนึ่ง น้องๆ ของป้าปอนทุกคนทั้งหญิงชายว่ายน้ำได้ไกล พายเรือเป็น ขี่จักรยาน ขับจักรยานยนต์และรถยนต์ได้หมด ที่ยังไม่เป็นเห็นจะมีเรือดำน้ำ รถไฟ เครื่องบิน แต่เชื่อว่าถ้าให้พวกเขามีโอกาสหัดกันไม่นานก็ต้องขับได้เป็นแน่นักเชียว ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ป้าปอนไม่เป็นเลยสักอย่าง ทั้งๆ ที่เป็นลูกคนโตหรือที่เรียกว่าหัวปีนั่นแหละ ตอนเด็กๆ ป้าปอนเป็นคนขี้ขลาดและขี้อายเอามากๆ ไม่กล้าหัดอะไรสักอย่าง ต้องมาหัดตอนแก่ ตั้งใจว่าถ้ามีลูกจะต้องพยายามเลี้ยงให้มีความกล้าหาญสักหน่อยให้เอาอย่างน้าๆ ของแก อย่าได้เป็นอย่างแม่ที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็น

หลังจากพวกเราทั้งห้าคนมาอยู่บ้านป้าแดงได้สักครึ่งเดือน ก็ได้ว่าจ้างรถไถมาปรับระดับดินให้สูงขึ้นกว่าพื้นดินเดิมเพื่อสร้างบ้าน เราให้เขาปรับดินขึ้นมาขนาดพื้นที่ประมาณงานเศษๆ ที่ดินผืนนี้ในฤดูฝนน้ำหลากท่วมทั้งทุ่ง เลยต้องทำที่ให้สูงหนีน้าเข้าไว้ เสร็จงานดินก็ติดต่อว่าจ้างช่างในหมู่บ้านมาสร้างบ้านให้ อันที่จริงก็เป็นเพียงบ้านหลังเล็กกะทัดรัด แต่เราทำเองไม่เป็นก็ต้องอาศัยช่าง

ระหว่างนี้เราก็เริ่มปลูกผัก คุณสันติสุขกับคุณจุไรรัตน์สองสามีภรรยาเป็นคนเริ่มปลูกก่อน หลังจากขุดดินทำแปลงผักเล็กๆ ได้สิบกว่าแปลง หยอดเมล็ดถั่วฝักยาว แตงกวา บวบ มะระ ฯลฯ ไว้แล้ว คู่นี้ก็ย้ายลงไปอยู่ภาคใต้ เหลือคุณพรหม ลุงสมชายและป้าปอนดูแลต่อ เราก็เฝ้ารดน้ำพรวนดิน ขนขี้เป็ดขี้ควายมาใส่เป็นปุ๋ยไปตามเรื่องตามราวตามที่พอจะรู้มาว่าเขาดูแลผักกันอย่างไร ป้าปอนก็เซ่อซ่าที่สุดตามเคย ไม่รู้สักอย่างว่าต้นกล้าผักที่ขึ้นมานั้นแปลงไหนต้นไหนเป็นผักอะไร ก็คนไม่เคยปลูกไม่เคยเห็นก็ย่อมไม่รู้จักเป็นธรรมดานะ

หลังจากคุณจุไรรัตน์ย้ายไปแล้วป้าปอนก็ทำหน้าที่แม่ครัวต่อ ลูกทีมก็ต้องทนกล้ำกลืนกินข้าวดิบข้าวแฉะกันไปหลายมื้อกว่าป้าปอนจะหุงข้าวในกระทะบนเตาฟืนเป็น กว่าจะรู้ว่าฟืนขนาดไหนถึงจะให้ไฟที่เหมาะ ส่วนผักที่เราเฝ้ารดน้าพรวนดินเป็นเดือนๆ ก็ไม่เติบโตเท่าใดนัก แคระแกร็นไม่ออกดอกออกผล

เราไม่ถึงกับท้อแท้หรือผิดหวังเสียดายมากนัก ก็บอกตัวเองว่ามีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราจะต้องเรียนรู้เพื่อจะทำมาหากินดำรงชีพในพื้นที่นี้ให้ได้ เรายอมรับกันเงียบๆ ว่าเรากำลังเริ่มต้นทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ดำเนินชีวิตแบบที่ไม่เคยเป็นทั้งไม่เคยฝึกหัด เมื่อมาถึงก็ลงมือทำเลย ไม่ทันจะได้ร่ำได้เรียนได้ฝึกอบรม แต่เอาเถอะ ครูของเราย่อมมีอยู่ทั่วไปถ้าเราใฝ่รู้ ชาวบ้านนี่ก็คือ “ครู” การลองผิดลองถูกนี่ก็ “ครู” อีกทั้งธรรมชาติก็เป็นครูที่สำคัญเช่นกัน

แม้อยู่เพียงเดือนแรกเราก็เริ่มรักชีวิตที่เรียบง่าย ณ ท้องทุ่งกว้างแห่งนี้ ทั้งๆที่ทั้งทุ่งโล่งมีเพียงกอไผ่สองกอกับต้นตาลอีกสามต้น มีไม้ยืนต้นเพียงเท่านี้นอกนั้นก็เป็นหญ้าคากับดงไมยราพยักษ์หนามแหลมอยู่รอบชายนํ้าและกระจายทั่วไป กลางวันทั้งทุ่งจะร้อนระอุด้วยเปลวแดดระยับบนยอดหญ้าแต่ยามราตรีนั้นเล่า ท้องทุ่งเดียวกันนี้กลับเนรมิตให้เราได้เห็นจันทร์แจ่มแอร่มตา ไม่มีสิ่งใดบดบังตั้งแต่แรกขึ้นจนลับขอบฟ้ายามเช้าตรู่ในรูปลักษณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปรไปจากข้างขึ้นจรดแรม ได้รู้ว่าคืนเดือนเพ็ญนั้นท้องฟ้าสว่างราวกลางวันเป็นฉันใด…